วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เต่าบิน (fly river turtle) เต่าจมูกหมู (pig nose turtle)



เต่าบิน (fly river turtle) เต่าจมูกหมู (pig nose turtle)


     จะกล่าวไปแล้ว "เต่าบิน" หรือ "fly river turtle" หรืออีกชื่อ "pig nose turtle" เข้ามาในบ้านเราค่อนข้างนานแล้วในอดีต ราคาก็ค่อนข้างสูงและไม่เป็นที่แพร่หลายเหมือนปัจจุบัน นี้ มีการนำเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ราคาก็ถูกลง (ทั้งนี้แล้วแต่ช่วงที่มีของหรือไม่) เลี้ยงดูง่าย คล้ายๆปลา แต่ง่ายกว่ามาก เพราะมันเป็นเต่าบินน้ำ อดทนในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ค่อนข้างดี การเลี้ยงต้องดูแลเรื่องน้ำให้ดี เพราะอาจติดเชื้อจากความสกปรกในน้ำได้ในกรณีน้ำเน่าเสีย เพราะเต่าบินกินจุและของเสียเยอะมาก
           ระบบกรองต้องมีประสิทธิภาพมากเลยทีเดียว หรือ ต้องขยันเปลี่ยนน้ำซักหน่อย (หากเลี้ยงหลายตัวหรือรวมกับปลาอื่นๆ) เจ้าเต่าบินนี้ สายตาไม่ค่อยดีนัก แต่ก็พอมองเห็นเหยื่อได้ และอาศัยการดมกลิ่นเอาในการหาเหยื่อ
        อาหารที่นิยมให้เจ้าเต่าบินกัน ก็ได้แก่ ผักบุ้ง ผักกาดหอม กะหล่ำปลี ฯลฯ หนอนนก ใส้เดือนน้ำ(ในช่วงตัวเล็กๆ) หนอนแดง ลูกปลา ลูกกุ้งตาย เนื้อปลา เนื้อกุ้ง อาหารเม็ด ทั้งจมและลอย นิยมเลี้ยงรวมเป็นแทงค์เมท (หรือเลี้ยงเดี่ยวก็ได้) กับปลาหลายชนิด ที่ว่ายน้ำค่อนข้างเร็ว เช่น อโรวาน่า เสือตอ นกแก้ว การ์ทั้งหลาย(อาจยกเว้น อัลลิเกเตอร์) ไพค์ ต่างๆ แคทฟิททั้งหลาย เพราะถ้าเลี้ยงกับปลาที่ว่ายน้ำค่อนข้างช้า อาจโดนกัดครีบหรือหนวดหรือหาง เสียหายได้ หากใครเลี้ยงในอ่างหรือบ่อ ควรหาอะไรปิดปากบ่อ เพราะเจ้านี่ปีนป่ายได้เก่งทีเดียว

เต่าคองู หรือ เต่าคอยาว





......ที่ under water world บริสเบน  นอกเหนือจากที่มีอุโมงค์ให้เดินผ่านชมปลาทะเลหลากหลายพันธุ์เหมือน under water world ในเมืองอื่นๆที่ออสเตรเลีย  หรือเหมือน under water world ในหลายๆ ประเทศแล้ว  ที่บริสเบนนี่เค้าก็ยังเปิดบริการให้ว่ายน้ำกับปลาโลมาด้วยนะครับ  พวกฝรั่งเค้าชอบครับ  ยอมเสียตังค์ใช้บริการเหล่านี้กันมากมาย  ดูแล้วน่าเข้าไปร่วมวงด้วย

......ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้นนะครับ  ที่นี่เค้ายังมีอควาเรียมสัตว์น้ำหน้าตาน่าเอ็นดูมากมายให้ชม  แต่ที่ดึงดูดความสนใจจากดิฉันและลูกๆได้มากก็เห็นจะเป็น "เต่าคอยาว"  นี่แหละครับ

......เจ้า "เต่าคอยาว" (Long-neck Turtle) หรืออีกชื่อ  เต่าคองู (Snake-nake Turtle) สาเหตุเพราะคอของมันยาวเหมือนงูนั่นเองค่ะ  "เต่าคอยาว" เนี่ยเป็นสัตว์พื้นเมืองของทางแถบออสเตรเลียตะวันออกนะครับ

......"เต่าคอยาว" โตเต็มที่จะมีความยาวของกระดองประมาณ 25-30 ซม.  ซึ่งความยาวของคอก็จะประมาณ 25-30 ซม. เช่นกันครับ  เต่าชนิดนี้มีกรงเล็บที่แข็งแรงมาก  เพื่อเอาไว้ฉีกอาหารนะครับ  มันชอบกินปลา  ลูกอ๊อด  ลูกกบ  และก็กุ้งตัวเล็กๆค่ะ  อ้อ!  มันไม่กินผักนะครับ

......ประโยชน์ของคอยาวๆเหมือนงูนี่  เค้าบอกว่ามันเอาไว้ชอนไชหาอาหารครับ

......เจ้าเต่าพันธุ์นี้มันชอบย้ายบ้านนะครับ  มันชอบที่จะไปหาที่อยู่อาศัยใหม่เรื่อยๆ  และก็เป็นเหตุให้มันต้องไปเพ่นพ่านอยู่ตามท้องถนนและโดนรถชนเป็นประจำ  ซึ่งถ้าแค่กระดองแตกเค้าก็จะเอามันไปรักษา  และซ่อมแซมกระดองให้มันด้วยวัสดุเช่นไฟเบอร์กลาสครับ

......ถ้าเอามันไปเลี้ยงตามบ้านเค้าบอกว่าให้ล้อมรั้วลงดินลึกๆ  เพราะถ้ารั้วไม่ลึกพอมันจะสามารถขุดดินลอดรั้วออกไปได้ครับ  ก็กรงเล็บมันแข็งแรงเสียออกขนาดนั้น......"เต่าคอยาว"  นี่อายุยืนนะครับ  บางตัวอาจจะอยู่ได้ถึง 100 ปีเลยนะครับ  แหม! เขียนเรื่องเต่าชักอยากเลี้ยงเต่าขึ้นมาแล้วสิครับ  แต่ "เต่าคอยาว" บ้านเราท่าทางจะหายาก 
 

กบตาหนามอาร์เจนติน่า (Argentina Hornfrog)


กบตาหนามอาร์เจนติน่า (Argentina Hornfrog)

สวัสดีครับก็ไม่พบกัน คิดถึงกันหรือเปล่า ในฉบับนี้ผู้เขียนเลยนำเรื่องของเจ้ากบตาหนาอาร์เจนติน่ามาฝากกัน   เจ้ากบตาหนาอาร์เจนติน่า  เป็นสัตว์เลี้ยง ที่นักเลี้ยงสัตว์แปลก ยกให้เป็น ดาราโด่งดังระดับซุปเปอร์สตาร์ ไม่แพ้สัตว์แปลกตัวอื่นๆ ไม่ว่า จะเป็น กิ้งก่า, ซาลามานเดอร์, หนูแกสบี้-แฮมสเตอร์, เต่าหรืองู         กบตาหนาม มีขอบตาเป็นเนื้อยื่นออกมา คล้ายหนามแหลม หัวโต ปากกว้าง กินเก่ง ใช้เวลากินเหยื่อรวดเร็ว เป็นฉายาอีกอย่างว่า pac-man
        กบตาหนาม อาร์เจติน่า พบบ่อยๆก็มีมีสีน้ำตาล และสีเขียว 2 สี และที่นิยมอีกสีคือสีเหลืองทอง เป็นที่สนใจ ของผู้นิยม เลี้ยงสัตว์แปลกใน ต่างประเทศ มีสีสันสวยงาม แปลกตา เลี้ยงง่าย แค่มีน้ำแฉะๆ ให้อาหาร 3-4 วันต่อครั้ง ไม่ควรให้อาหารมากเกินไป
        กบตาหนามใช้วิธีการพรางตัวล่าเหยื่อ โดยจะพรางตัวนิ่งซ่อนในเศษหญ้าเศษไม้ เพื่อรอให้เหยื่อเข้ามาใกล้ แล้วทำการโจมตีอย่างรวดเร็ว ด้วยปากอันกว้างเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับขนาดตัว

        อาหารที่ให้ เช่น ปลาเล็ก ลูกกบ ลูกเขียด เนื้อชิ้นเล็กๆ กระทั่งหนูขาว กบตาหนามกินได้หมด ด้วยปากที่ขยาย ออกได้กว้าง สนนราคาค่อนข้างแพง กบตาหนามสลับสี ขนาดราคาตัวเล็ก เริ่มต้นที่ตัวละ 500 บาท ขนาดใหญ่ขึ้นหน่อยตัวละ 1,000-2,000 บาท ขนาดโตเต็มที่ สีสันสวยงาม ราคาจะ แพงมาก อาจสูงถึงตัวละ 5,000 บาท
        กบตาหนามในประเทศไทยก็มี ที่พบมี 8 ชนิด...กบตึง หรือเขียดตึง, กบตาหนามอกหนาม หรือกบตาหนามอกป้าน, กบตาหนามปากลายหรือกบตาหนามขาแดง (กบตาหนามนิ้วยาว), กบตาหนามภูเขา, กบตาหนามจมูกแหลม, กบตาหนามดอยสุเทพ, กบตาเขา หรือกบตาหนามหัวแบน และกบตา หนามแดง



ข้อมูลเฉพาะตัว
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   ฺCeratophrys ornata
วงศ์ :   Leptodactylidae
ถิ่นกำเนิด :   มีถิ่นกำเนิดในป่าฝน Argentina, Paraguay, Uruguay, and southern Brazil.
การขยายพันธุ์ :    เริ่มผสมพันธุ์และวางไข่ (ยังไม่มีข้อมูล)
อาหาร :   ลูกปลา ลูกกบ เขียด แมลง จิ้งหรีด เนื้อสด หนูขาว

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กระต่ายพันธุ์ แองโกล่า








กระต่าย พันธุ์ แองโกล่า ( Angora Rabbit ) เป็นกระต่ายขนยาว ที่สุดในโลก ขนมีลักษณะอ่อนนุ่ม

กระต่ายแองโกล่าเป็นกระต่ายสายพันธุ์เก่าแก่ มีต้นกำเนิดมาจาก เมืองแองโกล่า ( Ankara ) ประเทศตรุกี ( Turkey )

เช่นเดียวกับ แมวแองโกล่า และแพะแองโกล่า กระต่ายพันธุ์นี้เป็นที่นิยมในประเทศฝรั่งเศสในยุคกลาง ปี ค.ศ.1700

และเข้ามาในอเมริกาประมาณปี 1900 กระต่ายแองโกล่าแบ่งออกได้เป็น 5 สายพันธุ์





กระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์อังกฤษ
พันธุ์นี้จะหน้าตาน่ารักขนแบบWool นี่จะปุยฟู หนา ปกคลุมไปจนถึงหูเลยหละ ตรงหูจะเห็นเป็นพู่ๆ
 และขนจะคลุมไปขนถึงหน้า และเท้า ซึ่งขนส่วนใหญ่จนนุ่มละเอียดเหมือนไหม และต้องอาศัยการดูแลมากเป็นพิเศษ
 นอกจากนี้ English Angora นี้จะมีขนาดเล็กกว่าเพื่อนโตเต็มที่จะหนักแค่ 2.3-3.2 กิโลกรัม


กระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์ฝรั่งเศส :
พันธุ์นี้ จะดูไม่น่ารักเท่ากับ English Angora เพราะว่า หน้าและหูจะไม่ปุย
 หน้าตาจะเหมือนกระต่ายทั่วไป แต่ว่าจะปุยที่ตัว ส่วนขนWool จะมีขนที่ละเอียดน้อยกว่า English Angora
 ความยาวตัวจะปานกลาง และเป็นทรงวงรี เมื่อโตเต็มที่จะหนัก 3.4-4.8 กิโลกรัม


กระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์เยอรมัน : น้ำหนัก 2-5.5 กิโลกรัม


กระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์ไจแอนท์ : น้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม หรือมากกว่า
จะเป็นเป็นสีขาวเท่านั้น


กระต่ายแองโกล่า สายพันธุ์ซาติน : น้ำหนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม
ขนจะเงา ลักษณะส่วนใหญ่จะไปทาง French Angora ขนจะนุ่มเงาสวย
นี่คือตัวอย่างขน

  




วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เต่ามาทามาท่า (Chelus fimbriatus)



เต่ามาทามาท่า (Chelus fimbriatus) คือเต่าน้ำจืดที่สามารถพบได้ในแม่น้ำอะเมซอนและโอริโนโค่ในทวีปอเมริกาใต้ เจ้าเต่าหน้าตาประหลาดนี้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในน้ำตื้นๆซึ่งมันสามารถโผล่หัวขึ้นมาหายใจได้ เต่ามาทามาท่ามีขนาดค่อนใหญ่ประมาณ 15 กก. พวกมันกินสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและปลาเป็นอาหาร เจ้านี้ไม่เป็นอันตรายอยู่มนุษย์ถึงแม้ว่าจะมีหน้าตาขัดกันก็ตาม

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หนูยักษ์คาพีบารา


   สวัสดีครับเพื่อนๆทุกท่าน ฉบับนี้นี้ผมขอเเนะนำให้รู้จัก กับ เจ้าหนูยักษ์คาพีบารา สัตว์ฟันเเทะที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ชื่อวิทยาศาสตร์ Hydrochoerus hydrochaeris
ลักษณะทางกายวิภาค นิ้วเท้าหน้ามี4นิ้ว หลังมี 3นิ้ว เเต่ละนิ้วมีผังพืด ช่วยในการว่ายน้ำ มีขนหยาบ ฟันหน้าขนาดใหญ่2ซี่ หน้าคล้ายม้า
อัตราการโต อาจมีขนาดตัวยาวได้ถึง135ซม.หนัก65กก.
การเลี้ยงดู ควรเลี้ยงในพื้นที่กว้างมีบ่อน้ำเเละที่หลบเเดดหลบฝน
อุปนิสัย ใจเย็น เชื่องกับคนเเละสัตว์ที่เป็นมิตร ตกใจง่าย ชอบว่ายน้ำมาก ชอบนอนกลางวันในน้ำ อยู่รวมกันเป็นฝูง
อาหาร ผักผลไม้อาหารกระต่ายเมล็ดพืชหญ้า
ข้อพึงระวังในการเลี้ยง เป็นพาหะของโรคไข้หัด Rocky moumtain spotted fever ซึ่งก็จัดเป็นโรคที่มีความอันตรายเช่นกัน หากไม่ได้รับการดูเเลเอาใจใส่ อาจกัดได้เมื่อถูกรุกลานไม่ว่าคนเเละสัตว์เเต่ส่วนมากจะเดินหนี

ข้อสังเกตุเมื่อไม่สบายเเละโรคที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงการรักษา

1 เกิดจากความเครียดหากรบกวนมากเกินไป
การรักษา ให้เวลาส่วนตัวเค้าให้มากดูเเลอยู่ห่างๆ

2 ไม่อยากอาหารเเละร่างกายผอมลง เนื่องมาจากระบบทางเดินอาหารอุดตัน เกิดจากการกินสิ่งเเปลกปลอมเข้าไป เช่นถุงพลาสติก
การรักษา เป็นการรักษาที่ลำบาก เพราะ เครื่องx-ray ไม่สามารถ ถ่ายติดได้เนื่องจากความใสของถุงพลาสติก ดังนั้นอาจจะต้องผ่าตัดในบางกรณีหากร้ายเเรงมาก

3 อยากอาหารมากเเต่ร่างกายผอมลง เนื่องมาจากพญาธิ ภายในร่างกาย
การรักษา สามารถใช้ยาถ่ายพญาธิของสุนัขได้

4ตามตัวมีตุ่มขึ้นมาก เนื่องมาจากพญาธิภายนอก เช่น เห็บ หมัดไร
การรักษา สามารถใช้ยากันเห็บหมัดเเละพญาธิหัวใจของสุนัขได้


ข้อความที่ได้กล่าวมานี้ ได้มาจากประสบการ์ณการเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้ด้วยตัวผมเองหากมีสิ่งใดผิดไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ด้วย ขอบคุณมากครับ

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

"ดอร์เมาส์" กระรอกจิ๋ว อัศจรรย์


          คงเป็นไปได้ยากหากจะจับกระรอกธรรมชาติมาเลี้ยงให้เชื่องโดยง่าย นอกเสียจากจะเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็กคอยป้อนอาหาร ป้อนนม จนมันคุ้นชิน แล้วดูแลเอาใจใส่จนมันเติบโตกลายเป็นกระรอกเต็มวัยขนาดพอสองอุ้งมือ

 

          แต่ถ้าเป็นกระรอกบางชนิด แม้คุณจะเลี้ยงให้โตแค่ไหน มันก็จะมีขนาดเพียงอุ้มมือเดียวเท่านั้น!! ราวกับว่ามันเป็นลูกกระรอกไม่ยอมโต เหมือนกับเจ้า "ดอร์เมาส์" (dormouse) สัตว์เลี้ยงตัวจิ๋วของ คุณปีย์ชนิตว์ เกษสุวรรณ หรือ คุณปีย์

          หนุ่มเชียงใหม่ ที่ชื่นชอบกระรอกชนิดนี้เป็นพิเศษ ขณะที่เมืองไทยยังไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก แต่เขาก็ศึกษาและเสาะหามาเลี้ยงได้อย่างดี โดยเริ่มจากการหาซื้อทางเว็บไซต์ 1 คู่ จนสามารถขยายพันธุ์และเลี้ยงดูดอร์เมาส์ จำนวน 10 ตัว ในปัจจุบัน

          "ผมเริ่มรู้จักกับเจ้ากระรอกจิ๋วเมื่อราวปลายปี 49 จากที่โพสต์ไว้ในเว็บไซต์สัตว์เลี้ยงของไทยที่อาศัยอยู่ในเยอรมัน หลังจากนั้นราวเดือนมีนาคม 50 มีร้านสัตว์เลี้ยงในจตุจักรก็ได้นำดอร์เมาส์ เข้ามาขาย แต่ราคาค่อนข้างแพง ผมจึงไม่ได้ซื้อไว้ในตอนแรก ต่อมาไม่นานก็มีคนเลี้ยงประกาศขายเองทางอินเตอร์เน็ต เลยตัดสินใจซื้อมาเลี้ยง 1 คู่ จนปัจจุบันมีประสบการณ์มากขึ้น และสนุกกับการเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้" คุณปีย์ เล่า

          นักวิทยาศาสตร์จัดดอร์เมาส์แยกออกจากกลุ่มหนูและกระรอก ซึ่งมีมากกว่า 20 สายพันธุ์ สามารถพบได้ทั้งในญี่ปุ่น ยุโรป และแอฟริกา โดยแต่ละชนิดมีถิ่นที่อยู่ สีสัน และขนาดที่แตกต่างกันไป แต่เกือบทุกชนิดมีลักษณะรูปร่าง และนิสัยคล้ายกระรอก ซึ่งดอร์เมาส์ที่คุณปีย์เลี้ยงไว้นั้นเป็นสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงมากที่สุด คือ "ปิ๊กมี่ดอร์เมาส์" (African pygmy dormouse) มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตอนกลางจนถึงตอนใต้ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เล็กที่สุด จนมีฉายาว่ากระรอกจิ๋ว (micro squirrels) เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดลำตัวเพียง 3-4 นิ้ว มีน้ำหนักแค่ประมาณ 25-30 กรัม มีหางฟูยาวเท่ากับลำตัว สีขนด้านบนเป็นสีเทาอ่อน แต่พออายุมากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง ด้านท้องสีขาวครีม

          คุณปีย์ บอกว่า ในประเทศไทยนับว่ามีการนำเข้าดอร์เมาส์จากแอฟริกา และฟาร์มจากญี่ปุ่นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น จึงเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีจำนวนน้อยมากในบ้านเรา ส่วนชื่อดอร์เมาส์ มาจาก คำว่า "Dor" ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "ผู้หลับใหล" มันถูกเรียกตามพฤติกรรมที่ต้องนอนจำศีลตลอดฤดูหนาวที่อาหารขาดแคลน เมื่ออากาศเย็นลงดอร์เมาส์จะหาโพรงไม้ รังนกเก่า หรือแทะผลโอ๊กให้เป็นโพรงเพื่อเข้าไปจำศีล แต่พฤติกรรมนี้จะไม่เกิดในเมืองไทย เพราะเป็นเมืองร้อน ดังนั้นการเลี้ยงดอร์เมาส์จึงต้องมีจัดสถานที่และควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม

          "พวกมันเป็นสัตว์กลางคืน แต่ในธรรมชาติพวกมันอาจจะหากินแทบทั้งวัน แต่ถ้าเลี้ยงในห้องที่มีแสงน้อย ในช่วงกลางวันพวกมันจึงอาจจะออกมาวิ่งเล่นให้เห็นเช่นเดียวกัน การเลี้ยงดอร์เมาส์ควรจัดให้อยู่ในอุณภูมิไม่ต่ำกว่า 70 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 24 องศาเซลเซียส สามารถเลี้ยงในตู้ปลาขนาด 20 นิ้ว ที่ปิดด้วยตะแกรงโลหะขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร เพราะเจ้ากระรอกจิ๋วมีขนาดเล็กมากและหลบหนีได้เก่ง 1 ตู้ เหมาะสมที่สุดสำหรับดอร์เมาส์ 1 คู่ นอกจากนั้น ตะกร้าพลาสติคอย่างหนาที่มีตาข่ายค่อนข้างเล็กก็ใช้ได้ดี โดยใส่วัสดุรองพื้นให้สูงประมาณ 2 นิ้ว จะใช้กระดาษฝอย ขี้เลื่อย ซังข้าวโพด หรือทรายสำเร็จรูปสำหรับแฮมเตอร์ก็ได้ แต่ควรใส่หญ้าแห้ง เศษผ้า หรือเศษไหมพรมไว้ให้มันคาบไปรองรังนอนด้วย"

          เมื่อเป็นสัตว์แสนซน สิ่งที่ควรจัดให้ดอร์เมาส์เพิ่มเติมก็คือ ของเล่นสำหรับปีนป่าย เช่น กิ่งไม้แห้ง เชือก โพรงไม้ และวงล้อสำหรับแฮมเตอร์ เพราะในธรรมชาติพวกมันจะใช้เวลาส่วนมากปีนป่ายหาอาหารตามพุ่มไม้ ผู้เลี้ยงจึงสามารถนั่งมองเจ้ากระรอกจิ๋วแสดงกายกรรมอย่างร่าเริงได้ตลอด ทั้งคืน และควรหาบ้านไม้สำเร็จรูปหรือกระถางดินเผาเล็กๆ ที่กะเทาะให้มีช่องเข้าออกสำหรับให้มันเข้าหลบซ่อนในเวลากลางวัน เพื่อช่วยลดความเครียด หรือเป็นรังนอนและรังคลอด

          ส่วนอาหารของดอร์เมาส์ตามธรรมชาติมีหลากหลายเช่นเดียวกับสัตว์ฟันแทะทั่วไป เมื่อนำมาเลี้ยงเองคุณปีย์บอกว่า สามารถผสมอาหารเองได้ โดยใช้อาหารเม็ดสำหรับหนูแฮมสเตอร์ อาหารแมวไขมันต่ำ อาหารนกเขา กระดองปลาหมึกตำหยาบ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง อาหารหมูอ่อน และเสริมด้วยผลไม้สด ผลไม้แห้ง นมอัดเม็ด โยเกิร์ต ไก่สุก ไข่ต้ม ผักสด จิ้งหรีด หนอนนก และขนมปัง สลับสับเปลี่ยนกันไป โดยจัดถ้วยอาหารแห้งกับอาหารเปียก ใช้ขวดน้ำแบบปลายลูกกลิ้งที่ทำจากสแตนเลส หรือใส่น้ำในถ้วยเล็กๆ แต่ควรเปลี่ยนทุกวัน

          ดอร์เมาส์ เป็นสัตว์สังคมจึงควรเลี้ยงรวมกันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม แต่เมื่อตัวผู้โตขึ้นจะเริ่มทะเลาะกันเพื่อแย่งกันผสมพันธุ์กับตัวเมียที่อยู่ในฝูง (ดอร์เมาส์ พร้อมผสมพันธุ์เมื่ออายุ 6 เดือน ขึ้นไป) คุณปีย์บอกว่าอัตราส่วนในการเพาะพันธุ์ที่ได้ผลดีคือ ตัวผู้ 1 ตัว ต่อ ตัวเมีย 2 ตัว ซึ่งสามารถสังเกตอาการตัวผู้ได้จากเสียงร้อง "คริกๆ" คล้ายจิ้งหรีด หากผสมแล้วแม่หนูจะตั้งท้องราว 25-30 วัน และออกลูกครอกละ 2-10 ตัว ในต่างประเทศพบว่าดอร์เมาส์มีลูกได้ปีละครั้ง แต่ด้วยอากาศในบ้านเราทำให้อาจจะมีลูกได้ถึงปีละ 3-4 ครั้ง และเจ้ากระรอกจิ๋วอาจมีอายุในที่เลี้ยงได้มากถึง 6 ปี

          "เราจะทำให้ดอร์เมาส์คุ้นเคยกับผู้เลี้ยงได้ โดยแยกลูกหนูออกมาป้อนนมตั้งแต่เล็ก จนสามารถนั่งเล่นบนมือ ป้อนอาหาร และไต่ตามตัวได้ แต่ต้องเริ่มจากช่วงแรกๆ คือไม่เกิน 3 สัปดาห์ หลังจากออกจากท้องแม่ แต่จากประสบการณ์ของผม การนำลูกหนูออกมาป้อนในช่วง 12-15 วัน ลูกหนูจะคุ้นมือเร็วกว่า แต่อัตราการรอดต่ำและกินนมยากกว่า ดังนั้น ควรนำออกมาป้อนช่วง 18-20 วัน จึงจะปลอดภัย อาหารที่ป้อนคือซีรีแล็คสูตรเริ่มต้น หรือจะใช้นมผงสำหรับลูกแมวแทน แล้วผสมกับอาหารเสริมชนิดน้ำสำหรับเด็กก็ทำให้ลูกหนูมีสุขภาพดีได้เช่นกัน"

          เมื่อลูกดอร์เมาส์มีอายุราว 30 วัน แล้วผู้เลี้ยงลองยื่นมือลงไปแต่ถูกงับ!! คุณปีย์บอกว่าไม่ต้องตกใจ เพราะมันจะงับเพียงเบาๆ เพื่อสำรวจอาหาร พอมันโตขึ้นและคุ้นเคยกับเรา อาการงับจะลดลง แต่ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยของเจ้ากระรอกจิ๋วแต่ละตัวด้วยเช่นกัน แต่หากมันคุ้นเคยกับคนเลี้ยงแล้ว หากจะนำออกมาเล่น ควรยื่นมือลงไปให้มันรู้ตัวก่อน แล้วจึงรวบส่วนลำตัวขึ้นมาด้วยอุ้งมือ ส่วนตัวที่ไม่คุ้นเคยกับคน ควรกำมือแล้วใช้ร่องระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้รวบหนังบริเวณหลังแล้วยกขึ้น ไม่ควรใช้วิธีจับที่หาง เพราะอาจจะทำให้ดอร์เมาส์แว้งกัด หรือหางขาดได้ และไม่ควรแหย่มือ แบบผลุบโผล่ลงไปในกรง เพราะทำให้หนูตกใจ และอาจจะกัดเพื่อป้องกันตัวได้ และต้องล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง

          "ผู้เลี้ยงหลายคนมักจะทอดทิ้งดอร์เมาส์ของตนเองเมื่อโตขึ้น เนื่องจากพวกมันไม่มีนิสัยออดอ้อนเหมือนสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ แต่กลับชอบซ่อนตัว ไม่ชอบแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว และระแวงตัวสูง เพราะเป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่ตามธรรมชาติ ทำให้มันค่อนข้างตื่นง่าย ชอบซุกซ่อนและกลัวสิ่งที่เคลื่อนไหววูบวาบ แต่ผู้เลี้ยงก็มีความสุขที่ได้ลูบคลำเจ้ากระรอกจิ๋วตัวอ้วน ได้จัดมุมของเล่นในตู้ และนั่งดูมันแสดงกายกรรมอย่างคล่องแคล่ว วิ่งเล่นในวงล้อ หรือนั่งแทะอาหาร ช่วยลดความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานไปได้มาก ถ้าผู้เลี้ยงเข้าใจพฤติกรรมตามธรรมชาติของพวกมันให้ดี และให้เวลากับมันเพียงพอ ก็จะช่วยลดปัญหาการทิ้งขว้างสัตว์ เพราะเริ่มเบื่อหน่ายได้"

          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ดอร์เมาส์เกือบทุกชนิดไม่ใช่สัตว์คุ้มครอง (ยกเว้นสายพันธุ์เฉพาะถิ่นในเกาะญี่ปุ่น) หรือไม่มีรายงานการระบาดของโรคฝีดาษลิงในประเทศไทย ซึ่งเคยมีประวัติในอเมริกา เพราะลักลอบการนำเข้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย แต่ในบางประเทศก็มีการห้ามนำเข้าดอร์เมาส์ เพราะหากไม่มีการควบคุมตามธรรมชาติอาจจะกลายเป็นศัตรูพืชได้

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อัฟกัน ฮาวนด์ (Afghan Hound) งามสง่า รักสันโดด จงรักภักดี




ลักษณะทั่วไป

     อัฟกาน ฮาวน์ เป็นสุนัขที่มีความสง่างาม ดูแล้วเป็นสุนัขที่มีความคลาสสิคมากในตัว เมื่อมองจากด้านหน้าจะดูตรงหัวเชิด ตรงคอยาวโค้งได้สัดส่วน ขนยาว ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวจะต้องสง่าวามให้สมกับที่ฝรั่งเขาตั้งให้ว่าเป็น THE KING OF DOG


 ความเป็นมา

     จากประเทศที่เขาทำให้ได้ชื่อนี้มาอัฟกัน ฮาวนด์ เป็นสุนัขประจำชาติถึงแม้ว่าจะไม่เป็นทางการก็ตาม ชนพื้นเมืองอัฟกัน เชื่อว่าสุนัขพันธุ์นี้คือสุนัขในภาพวาดบนผนังถ้ำในตอนเหนือของประเทศ แคว้นบัคก์ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สุนัขพันธุ์อัฟกัน ฮาวนด์ มีอีกชื่อหนึ่งว่า บัลก์ฮาวนด์ พวกเขาเป็นนักล่าด้วยสายตามากกว่าการดมกลิ่น เนื่องจากมีสายตาที่ฉับไวเป็นเลิศ และมีความว่องไวซึ่งเป็นสิ่ง สำคัญในการไล่ล่าเหยื่อขนที่หนาฟูปกป้องพวกเขาจากอากาศหนาวจัดในบริเวณตอนเหนือที่มีหิมะตก และในขณะเดียวกันก็ป้องกันพวกเขาจากแสงแดดที่รุนแรงของทะเลทรายอุ้งเท้าที่หนาและใหญ่ และขาหลังที่แข็งแรง ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางข้ามทะเลทราย ร้อนจัดหรือบนเขาขรุขระได้


 ลักษณะนิสัย

     กล่าวว่านิสัยดีแต่โดดเดี่ยว รักสันโดด พวกเขามีความจงรักภักดี และเชื่อฟังคำสั่งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าขณะที่เป็นลูกสุนัขเขาจะไม่ชอบเล่นสนุกเหมือนสุนัขทั่วๆไป โดยรวมแล้ว สุนัขพันธุ์นี้เข้ากันได้ดีมากกับเด็ก ๆ ไม่ว่าจะคุณจะพาเขาเข้าบ้านตั้งแต่เป็นลูกสุนัขหรือตอนโตแล้ว แล้วก็ตาม พวกเขายังสามารถปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรภายในบ้านได้อย่างไม่ขัดเขิน หากคุณพาเขาไปข้างนอก ก็ไม่ควรปล่อยให้เขาเดินเล่นโดยไม่มีสายตูง เพราะทันทีที่สายตาเขาเล็งเห็นเป้าหมายที่น่าสนใจ ประสาทหู ของเขาจะไม่ได้ยินเสียงคำสั่งของคุณอีกต่อไป




 การดูแล
  สำหรับสุนัขชนิดนี้ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องล้อมรั้ว เนื่องจากสายตาที่ว่องไวของเขามักจะก่อให้เกิดปัญหา ควรให้เขาได้ ออกกำลังกาย อาบน้ำและได้รับการดูแลรักษาขนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการให้อาหารที่เหมาะสมกับลักษณะการเจริญเติบโตตั้งแต่ยังเป็นเด็กและควรจะเตรียมน้ำสะอาดให้ พวกเขาตลอดเวลาด้วย
 ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
 ผู้เลี้ยงที่เข้าใจว่าพวกเขาต้องการออกกำลังกายและให้ความสำคัญต่อการดูแลขนอย่างสม่ำเสมอก็สามารถเป็นเจ้าของสุนัขพันธุ์นี้ได้
 มาตรฐานสายพันธุ์
ขนาด
 ตัวผู้สูง 27 นิ้ว ตัวเมียสูง 25 นิ้ว อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าไม่เกินหนึ่งนิ้ว น้ำหนักตัวผู้ประมาณ 28 กก. ตัวเมียประมาณ 23 กก.
ศรีษะ
โหนกยาวได้สัดส่วน บ่งบอกถึงความสมดุลกับลำตัว หน้าผากและใบหน้าเรียบไม่ควรมีสต๊อป สันจมูกเรียบ หรืออาจจะโก่งเล็กน้อย ขนตรงส่วนหัวจะต้องยาวนุ่มสลวย แต่ขนที่ใบหน้าต้องสั้นเกรียน ลูกสุนัขบางตัวจะมีหนวด แต่จะหลุดออกเมื่อโตขึ้น
ฟัน          -
ปาก        -
ตา          
ยาวคล้ายผลอัลมอนด์ ดวงตาสีดำหรือสีคล้ำใสไม่ฝ้าฟาง
หู
 ยาว ต้องอยู่ในแนวเดียวกับตา เนื้อปลายหูจะต้องยาว เวลาวัดจะต้องยาวถึงจมูก อย่างน้อยที่สุด ปกคลุมด้วยขนยาว
จมูก        -
คอ       
ยาว แข็งแรง โค้งมนได้สัดส่วน จนถึงหัวไหล่ ซึ่งยาวโค้งและลู่ไปข้างหลัง
อก          -
ลำตัว
 เส้นตรงในระดับหัวไหล่ถึงสะโพกแข็งแรงและมีกระดูกสะโพกโผล่ เล็กน้อย สีข้างเรียบ ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่เท่ากับความยาวจากข้างหน้าถึงข้างหลัง
เอว         -
ขาหน้า
 ตรง แข็งแรง และมีช่วงยาวสวยงามระหว่างข้อศอกกับข้อพับเท้าสุนัขที่มีหัวไหล่ตรงเป็นสุนัขที่ผิดแสตนดาร์ด
ขาหลัง   -
หาง
ไม่อยู่สูงเกินไปจากเส้นหลัง ต้องขดเป็นวงแหวนหรือตรง ส่วนปลายโค้งเหมือนดาบแขก แต่จะต้องไม่ขดเหมือนก้นหอย หางต้องไม่เบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง เวลาวิ่งหางจะต้องไม่ไปจุกที่ก้น
ขน
 ปกคลุมยาวทั้งตัวยกเว้นขนหลัง หน้าและหางมีขนปกคลุมยาวไม่มาก ลักษณะเส้นขนนุ่มเส้นบางไม่หนาหยาบ ในสุนัขที่โตเต็มที่ขนหลังจะต้องสั้นเกรียนสีเข้มกว่าสีขนบนลำตัว
สีขน     
ทุกสี เช่น ขาว ครีม เทา ดำแดง ดำเงิน รวมไปถึงลายเสือ

สุนัขสายพันธุ์ตุรกี พอร์ยเตอร์(Turkish Pointer)


  สวัสดีครับ เพื่อนๆ วันนี้ผมมีน้องหมาแปลกๆ สายพันธุ์นึงจุดเด่นของเค้าน่าสนใจมาก มองปุ๊ป! เห็นปั๊ป! ชัดเจนมาก ว่าแต่คืออะไร มาดูกันดีกว่า^^






     

          Çatalburun อ่านว่า ซาทาบูรอล

          เป็นสุนัขสายพันธุ์ตุรกี พอร์ยเตอร์(Turkish Pointer) เป็นที่รู้จักกันดีด้วยลักษณะที่แปลกและเป็นจุดเด่น ม๊าก..มาก คือจมูกที่แบ่งออกเป็นสองข้าง (split-nose) ที่จมูกของเค้ามีลักษณะแบบนี้เป็นผลมาจาก การปรับเปลี่ยนพันธุ์กรรมของเค้า หรือบ้างก็ว่ากันว่าเป็นเพราะผลพวงจากนักล่าสัตว์ท้องถิ่นที่พยายามล่าสัตว์ในนิทานที่ไม่มีอยู่จริง จึงทำให้เจ้าพอร์ยเตอร์ตัวนี้มีความสามารถที่เหนือกว่าสุนัขพอร์ยเตอร์โดยทั่วไป







     อย่างไรก็ตามสุนัขพันธุ์นี้ยังไม่เป็นที่รู้จักกันมาก ในหมู่คนรักสุนัขนอกประเทศตุรกี จึงทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในสุนัขที่หายากที่สุดของโลกครับ

การเลี้ยงดูไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด

     Çatalburun สามารถดูแลในบ้านหรือในสวนขนาดเล็กได้ โดยไม่ต้องรบกวนคนอื่นๆ ที่สำคัญเค้าไม่เห่ามากและไม่รบกวนคน เค้าจะเล่นของเค้าเอง หรือจะหาเกมให้เค้าเล่นก็ได้เหมือนการล่า เช่น เอาเชือกผูกติดกับหมวก ติดกับไม้อีกฝั่งเหมือนตกปลาอะครับแล้วก็หลอกล่อไปมาให้ Çatalburun ฝึกล่า ฝึกเล่น ออกกำลังกายไปในตัวด้วย 








ลักษณะประจำกาย

     สุนัขเหล่านี้มีความสูงประมาณ 50 ซม. น้ำหนักราว 20-25 กก. จมูกแบ่งเป็น 2 ซีก และมีขากรรไกรที่แข็งแกร่ง เนื่องจากร่างกายแข็งแรง มีความคล่องตัวและรวดเร็วด้วย



นิสัยประจำตัว

     มีความจงรักภักดีมาก เชื่อฟังสั่งสอนง่าย เรียนรู้เร็ว ... ถึงแม้ Çatalburun จะเป็นสุนัขล่า แต่จะไม่เป็นอันตรายต่อผู้คนก็จะไม่เป็นอันตรายต่อเพื่อนบ้านของคุณ มันเชื่อฟังมาก ..หรือถ้าคุณไปออกล่าพาเจ้า Çatalburun ไปด้วยไม่ต้องห่วงเลยว่าเราจะเหงา เพราะเมื่อเรานั่งพักใต้ต้นไม้ เค้าจะมานั่งที่เท้าของเรา และเอาหัวไสที่เท้าของเราด้วยหรือจะยืนพิง ตามติดตลอด (คิดภาพแล้วน่ารักดีเนอะ) แต่ไม่ค่อยชอบน้ำสักเท่าไหร่ แต่ก็พอแถได้ครับ...








ความสามารถ

     ในการล่านกที่เก่งมาก ทนความร้อนและเย็น และแน่นอนจมูกแบ่งเป็นสัดส่วน2ซีก สามารถรับความรู้สึกของการได้กลิ่นยอดเยี่ยมมากทีเดียว



เริ่มต้นการล่า

     Çatalburun  เรียนรู้การล่าสัตว์ตั้งแต่อายุยังน้อย นั่นเป็นปกติของสุนัขล่า  โดยเฉพาะตัวผู้ยิ่งกว่าสุนัขล่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ เริ่มที่จะล่าสัตวอายุ 6-7 เดือนนั่นคือพวกเขาปรับตัวเข้ากับการล่าสัตว์ตั้งแต่อายุยังน้อยมาก






     เป็นอย่างไรบ้างครับ เพื่อนๆ ชอบกันรึเปล่า อาจะดูแปลกๆ ไปนิดๆ ลองคิดเล่นๆ เหมือนคนไปทำศัลยกรรมมาเลยครับเพื่อให้จมูกหายใจได้คล่องขึ้น เหอๆๆ แต่จริงนั่นเป็นเอกลักษณ์ที่ดี ที่โดดเด่นและแตกต่างจากสุนัขทั่วไปดีนะครับ ถ้าหากเพื่อนๆ มีสุนัขหายากในดวงใจ แนะนำได้ครับ เพื่อนำมาแบ่งปันความรู้ให้เพื่อนๆ ต่อไปครับ^____^