คงเป็นไปได้ยากหากจะจับกระรอกธรรมชาติมาเลี้ยงให้เชื่องโดยง่าย
นอกเสียจากจะเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็กคอยป้อนอาหาร ป้อนนม จนมันคุ้นชิน
แล้วดูแลเอาใจใส่จนมันเติบโตกลายเป็นกระรอกเต็มวัยขนาดพอสองอุ้งมือ
แต่ถ้าเป็นกระรอกบางชนิด แม้คุณจะเลี้ยงให้โตแค่ไหน
มันก็จะมีขนาดเพียงอุ้มมือเดียวเท่านั้น!! ราวกับว่ามันเป็นลูกกระรอกไม่ยอมโต
เหมือนกับเจ้า "ดอร์เมาส์" (dormouse) สัตว์เลี้ยงตัวจิ๋วของ
คุณปีย์ชนิตว์ เกษสุวรรณ หรือ คุณปีย์
หนุ่มเชียงใหม่ ที่ชื่นชอบกระรอกชนิดนี้เป็นพิเศษ ขณะที่เมืองไทยยังไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก
แต่เขาก็ศึกษาและเสาะหามาเลี้ยงได้อย่างดี โดยเริ่มจากการหาซื้อทางเว็บไซต์ 1
คู่ จนสามารถขยายพันธุ์และเลี้ยงดูดอร์เมาส์ จำนวน 10
ตัว ในปัจจุบัน
"ผมเริ่มรู้จักกับเจ้ากระรอกจิ๋วเมื่อราวปลายปี
49 จากที่โพสต์ไว้ในเว็บไซต์สัตว์เลี้ยงของไทยที่อาศัยอยู่ในเยอรมัน
หลังจากนั้นราวเดือนมีนาคม 50
มีร้านสัตว์เลี้ยงในจตุจักรก็ได้นำดอร์เมาส์ เข้ามาขาย แต่ราคาค่อนข้างแพง
ผมจึงไม่ได้ซื้อไว้ในตอนแรก ต่อมาไม่นานก็มีคนเลี้ยงประกาศขายเองทางอินเตอร์เน็ต
เลยตัดสินใจซื้อมาเลี้ยง 1 คู่ จนปัจจุบันมีประสบการณ์มากขึ้น
และสนุกกับการเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้" คุณปีย์ เล่า
นักวิทยาศาสตร์จัดดอร์เมาส์แยกออกจากกลุ่มหนูและกระรอก ซึ่งมีมากกว่า 20
สายพันธุ์ สามารถพบได้ทั้งในญี่ปุ่น ยุโรป และแอฟริกา โดยแต่ละชนิดมีถิ่นที่อยู่
สีสัน และขนาดที่แตกต่างกันไป แต่เกือบทุกชนิดมีลักษณะรูปร่าง และนิสัยคล้ายกระรอก
ซึ่งดอร์เมาส์ที่คุณปีย์เลี้ยงไว้นั้นเป็นสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงมากที่สุด คือ
"ปิ๊กมี่ดอร์เมาส์" (African pygmy dormouse) มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตอนกลางจนถึงตอนใต้
ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เล็กที่สุด จนมีฉายาว่ากระรอกจิ๋ว (micro squirrels) เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดลำตัวเพียง
3-4 นิ้ว มีน้ำหนักแค่ประมาณ 25-30
กรัม มีหางฟูยาวเท่ากับลำตัว สีขนด้านบนเป็นสีเทาอ่อน
แต่พออายุมากขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง ด้านท้องสีขาวครีม
คุณปีย์ บอกว่า ในประเทศไทยนับว่ามีการนำเข้าดอร์เมาส์จากแอฟริกา
และฟาร์มจากญี่ปุ่นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
จึงเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีจำนวนน้อยมากในบ้านเรา ส่วนชื่อดอร์เมาส์ มาจาก คำว่า
"Dor" ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า
"ผู้หลับใหล"
มันถูกเรียกตามพฤติกรรมที่ต้องนอนจำศีลตลอดฤดูหนาวที่อาหารขาดแคลน เมื่ออากาศเย็นลงดอร์เมาส์จะหาโพรงไม้
รังนกเก่า หรือแทะผลโอ๊กให้เป็นโพรงเพื่อเข้าไปจำศีล
แต่พฤติกรรมนี้จะไม่เกิดในเมืองไทย เพราะเป็นเมืองร้อน
ดังนั้นการเลี้ยงดอร์เมาส์จึงต้องมีจัดสถานที่และควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม
"พวกมันเป็นสัตว์กลางคืน
แต่ในธรรมชาติพวกมันอาจจะหากินแทบทั้งวัน แต่ถ้าเลี้ยงในห้องที่มีแสงน้อย
ในช่วงกลางวันพวกมันจึงอาจจะออกมาวิ่งเล่นให้เห็นเช่นเดียวกัน
การเลี้ยงดอร์เมาส์ควรจัดให้อยู่ในอุณภูมิไม่ต่ำกว่า 70
องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 24 องศาเซลเซียส สามารถเลี้ยงในตู้ปลาขนาด 20
นิ้ว ที่ปิดด้วยตะแกรงโลหะขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร
เพราะเจ้ากระรอกจิ๋วมีขนาดเล็กมากและหลบหนีได้เก่ง 1
ตู้ เหมาะสมที่สุดสำหรับดอร์เมาส์ 1 คู่ นอกจากนั้น
ตะกร้าพลาสติคอย่างหนาที่มีตาข่ายค่อนข้างเล็กก็ใช้ได้ดี
โดยใส่วัสดุรองพื้นให้สูงประมาณ 2 นิ้ว จะใช้กระดาษฝอย ขี้เลื่อย
ซังข้าวโพด หรือทรายสำเร็จรูปสำหรับแฮมเตอร์ก็ได้ แต่ควรใส่หญ้าแห้ง เศษผ้า
หรือเศษไหมพรมไว้ให้มันคาบไปรองรังนอนด้วย"
เมื่อเป็นสัตว์แสนซน สิ่งที่ควรจัดให้ดอร์เมาส์เพิ่มเติมก็คือ
ของเล่นสำหรับปีนป่าย เช่น กิ่งไม้แห้ง เชือก โพรงไม้ และวงล้อสำหรับแฮมเตอร์
เพราะในธรรมชาติพวกมันจะใช้เวลาส่วนมากปีนป่ายหาอาหารตามพุ่มไม้
ผู้เลี้ยงจึงสามารถนั่งมองเจ้ากระรอกจิ๋วแสดงกายกรรมอย่างร่าเริงได้ตลอด ทั้งคืน
และควรหาบ้านไม้สำเร็จรูปหรือกระถางดินเผาเล็กๆ
ที่กะเทาะให้มีช่องเข้าออกสำหรับให้มันเข้าหลบซ่อนในเวลากลางวัน เพื่อช่วยลดความเครียด
หรือเป็นรังนอนและรังคลอด
ส่วนอาหารของดอร์เมาส์ตามธรรมชาติมีหลากหลายเช่นเดียวกับสัตว์ฟันแทะทั่วไป
เมื่อนำมาเลี้ยงเองคุณปีย์บอกว่า สามารถผสมอาหารเองได้
โดยใช้อาหารเม็ดสำหรับหนูแฮมสเตอร์ อาหารแมวไขมันต่ำ อาหารนกเขา
กระดองปลาหมึกตำหยาบ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง อาหารหมูอ่อน และเสริมด้วยผลไม้สด
ผลไม้แห้ง นมอัดเม็ด โยเกิร์ต ไก่สุก ไข่ต้ม ผักสด จิ้งหรีด หนอนนก และขนมปัง
สลับสับเปลี่ยนกันไป โดยจัดถ้วยอาหารแห้งกับอาหารเปียก
ใช้ขวดน้ำแบบปลายลูกกลิ้งที่ทำจากสแตนเลส หรือใส่น้ำในถ้วยเล็กๆ
แต่ควรเปลี่ยนทุกวัน
ดอร์เมาส์ เป็นสัตว์สังคมจึงควรเลี้ยงรวมกันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม
แต่เมื่อตัวผู้โตขึ้นจะเริ่มทะเลาะกันเพื่อแย่งกันผสมพันธุ์กับตัวเมียที่อยู่ในฝูง
(ดอร์เมาส์ พร้อมผสมพันธุ์เมื่ออายุ 6 เดือน ขึ้นไป)
คุณปีย์บอกว่าอัตราส่วนในการเพาะพันธุ์ที่ได้ผลดีคือ ตัวผู้ 1
ตัว ต่อ ตัวเมีย 2 ตัว
ซึ่งสามารถสังเกตอาการตัวผู้ได้จากเสียงร้อง "คริกๆ" คล้ายจิ้งหรีด
หากผสมแล้วแม่หนูจะตั้งท้องราว 25-30 วัน และออกลูกครอกละ 2-10
ตัว ในต่างประเทศพบว่าดอร์เมาส์มีลูกได้ปีละครั้ง
แต่ด้วยอากาศในบ้านเราทำให้อาจจะมีลูกได้ถึงปีละ 3-4
ครั้ง และเจ้ากระรอกจิ๋วอาจมีอายุในที่เลี้ยงได้มากถึง 6 ปี
"เราจะทำให้ดอร์เมาส์คุ้นเคยกับผู้เลี้ยงได้
โดยแยกลูกหนูออกมาป้อนนมตั้งแต่เล็ก จนสามารถนั่งเล่นบนมือ ป้อนอาหาร
และไต่ตามตัวได้ แต่ต้องเริ่มจากช่วงแรกๆ คือไม่เกิน 3
สัปดาห์ หลังจากออกจากท้องแม่ แต่จากประสบการณ์ของผม การนำลูกหนูออกมาป้อนในช่วง 12-15
วัน ลูกหนูจะคุ้นมือเร็วกว่า แต่อัตราการรอดต่ำและกินนมยากกว่า ดังนั้น
ควรนำออกมาป้อนช่วง 18-20 วัน จึงจะปลอดภัย
อาหารที่ป้อนคือซีรีแล็คสูตรเริ่มต้น หรือจะใช้นมผงสำหรับลูกแมวแทน
แล้วผสมกับอาหารเสริมชนิดน้ำสำหรับเด็กก็ทำให้ลูกหนูมีสุขภาพดีได้เช่นกัน"
เมื่อลูกดอร์เมาส์มีอายุราว 30 วัน
แล้วผู้เลี้ยงลองยื่นมือลงไปแต่ถูกงับ!! คุณปีย์บอกว่าไม่ต้องตกใจ
เพราะมันจะงับเพียงเบาๆ เพื่อสำรวจอาหาร พอมันโตขึ้นและคุ้นเคยกับเรา
อาการงับจะลดลง แต่ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยของเจ้ากระรอกจิ๋วแต่ละตัวด้วยเช่นกัน
แต่หากมันคุ้นเคยกับคนเลี้ยงแล้ว หากจะนำออกมาเล่น ควรยื่นมือลงไปให้มันรู้ตัวก่อน
แล้วจึงรวบส่วนลำตัวขึ้นมาด้วยอุ้งมือ ส่วนตัวที่ไม่คุ้นเคยกับคน
ควรกำมือแล้วใช้ร่องระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้รวบหนังบริเวณหลังแล้วยกขึ้น
ไม่ควรใช้วิธีจับที่หาง เพราะอาจจะทำให้ดอร์เมาส์แว้งกัด หรือหางขาดได้
และไม่ควรแหย่มือ แบบผลุบโผล่ลงไปในกรง เพราะทำให้หนูตกใจ
และอาจจะกัดเพื่อป้องกันตัวได้ และต้องล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง
"ผู้เลี้ยงหลายคนมักจะทอดทิ้งดอร์เมาส์ของตนเองเมื่อโตขึ้น
เนื่องจากพวกมันไม่มีนิสัยออดอ้อนเหมือนสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ แต่กลับชอบซ่อนตัว
ไม่ชอบแสง เคลื่อนไหวรวดเร็ว และระแวงตัวสูง
เพราะเป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่ตามธรรมชาติ ทำให้มันค่อนข้างตื่นง่าย
ชอบซุกซ่อนและกลัวสิ่งที่เคลื่อนไหววูบวาบ แต่ผู้เลี้ยงก็มีความสุขที่ได้ลูบคลำเจ้ากระรอกจิ๋วตัวอ้วน
ได้จัดมุมของเล่นในตู้ และนั่งดูมันแสดงกายกรรมอย่างคล่องแคล่ว วิ่งเล่นในวงล้อ
หรือนั่งแทะอาหาร ช่วยลดความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานไปได้มาก
ถ้าผู้เลี้ยงเข้าใจพฤติกรรมตามธรรมชาติของพวกมันให้ดี และให้เวลากับมันเพียงพอ
ก็จะช่วยลดปัญหาการทิ้งขว้างสัตว์ เพราะเริ่มเบื่อหน่ายได้"
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ดอร์เมาส์เกือบทุกชนิดไม่ใช่สัตว์คุ้มครอง
(ยกเว้นสายพันธุ์เฉพาะถิ่นในเกาะญี่ปุ่น)
หรือไม่มีรายงานการระบาดของโรคฝีดาษลิงในประเทศไทย ซึ่งเคยมีประวัติในอเมริกา
เพราะลักลอบการนำเข้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย
แต่ในบางประเทศก็มีการห้ามนำเข้าดอร์เมาส์
เพราะหากไม่มีการควบคุมตามธรรมชาติอาจจะกลายเป็นศัตรูพืชได้