เต่าซูลคาต้า (อังกฤษ: Sulcata tortoise, African spurred tortoise) เป็นเต่าบกชนิดหนึ่ง
ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Geochelone
sulcata
จัดเป็นเต่าบกที่มีความใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองมาจาก
เต่ายักษ์กาลาปากอส (G.
nigra) และเต่าอัลดาบร้า (Aldabrachelys gigantea) จัดเป็นเต่าที่มีลักษณะกระดองที่แบนราบ
เมื่อยังอยู่ในวัยเล็กลำตัวมีสีขาวไปจนถึงสีน้ำตาลเหลือง
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและวัยเต็มวัยสีของกระดองจะพัฒนาเป็นสีน้ำตาลและสีเหลือง
ขาทั้งสี่ข้างแข็งแรง โดยเฉพาะขาคู่หน้ามีเกล็ดขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน
กระจายพันธุ์บริเวณพื้นที่แห้งแล้ง
บริเวณขอบทะเลทรายซาฮาร่าตั้งแต่ประเทศมาลี, เซเนกัล ในแอฟริกาตะวันตกไปจนถึงเอธิโอเปีย
ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้มากกว่า 36 นิ้ว
น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม มีอายุยาวกว่า 100 ปี
เป็นเต่าที่กินอาหารหลักได้หลากหลาย
โดยมากเป็นหญ้า รวมถึงวัชพืชและผลไม้ชนิดต่าง ๆ รวมถึงพืชในทะเลทราย เช่น
กระบองเพชร มีพฤติกรรมที่แตกต่างไปกวาเต่าบกชนิดอื่น ๆ คือ เดินเก่งและเดินได้เร็ว
สามารถเดินหาอาหารกินได้วันละหลายชั่วโมง
เต่าตัวผู้เมื่อสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ราว 5 ปี หรือมีความยาวประมาณ 15
นิ้ว ในส่วนตัวเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 7 ปี หรือมีความยาวประมาณ
17 นิ้ว ตัวผู้มีโคนหางที่ยาวกว่าตัวเมีย และมีกระดองบริเวณก้นเป็นรูปตัววี
อีกทั้งกระดองใต้ท้องมีลักษณะโค้งเว้าเข้าไปด้านใน
การสังเกตเพศเห็นได้เมื่อมีอายุได้ 3-4 ปี หรือมีความยาวประมาณ 1 ฟุต
มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงต้นฤดูร้อนจนถึงปลายฤดูฝน
โดยใช้เวลาผสมพันธุ์นานราว 1 ชั่วโมง เต่าตัวเมียจะวางไข่หลังผสมพันธุ์แล้ว 1
เดือน โดยใช้ขาหลังขุดหลุม
ซึ่งอาจมีหลายหลุมเพื่อหลอกสัตว์กินเนื้อชนิดอื่นที่จะมาขโมยไข่ วางไข่ครั้งละ
20-30 ฟอง โดยในแต่ละปีอาจวางไข่ได้ถึงครั้งละ 4-5 ครั้ง
และมักจะวางไข่ในช่วงเวลาบ่ายไปจนถึงตอนเย็น ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 90 วัน
โดบใช้อุณหภูมิประมาณ 29-31 องศาเซลเซียส ความชื้นอยู่ที่ร้อยละ 75-85
ลูกเต่าเมื่อแรกฟักจะมีความยาวประมาณ 2 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 20-30 กรัม
และจะมีถุงไข่แดงติดตัวมาด้วย ซึ่งถุงไข่แดงนั้นจะให้พลังงานแทนอาหาร
ใช้เวลานานประมาณหนึ่งสัปดาห์ ถุงไข่แดงนี้จึงจะยุบไป
ปัจจุบัน เต่าซูลคาค้าเป็นเต่าบกอีกชนิดหนึ่ง
ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง และสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว
รวมถึงในประเทศไทยด้วย
ในฉบับนี้ผู้เขียนก็อได้นำเอาเต่ายักษ์ซูลคาค้ามาให้รู้จักกันนะครับ
จัดเป็นเต่าบกที่มีความใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองมาจาก
เต่ายักษ์กาลาปากอส (G.
nigra) และเต่าอัลดาบร้า (Aldabrachelys gigantea) จัดเป็นเต่าที่มีลักษณะกระดองที่แบนราบ
เมื่อยังอยู่ในวัยเล็กลำตัวมีสีขาวไปจนถึงสีน้ำตาลเหลือง
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและวัยเต็มวัยสีของกระดองจะพัฒนาเป็นสีน้ำตาลและสีเหลือง
ขาทั้งสี่ข้างแข็งแรง โดยเฉพาะขาคู่หน้ามีเกล็ดขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน
กระจายพันธุ์บริเวณพื้นที่แห้งแล้ง
บริเวณขอบทะเลทรายซาฮาร่าตั้งแต่ประเทศมาลี, เซเนกัล ในแอฟริกาตะวันตกไปจนถึงเอธิโอเปีย
ขนาดเมื่อโตเต็มที่ยาวได้มากกว่า 36 นิ้ว
น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม มีอายุยาวกว่า 100 ปี
เป็นเต่าที่กินอาหารหลักได้หลากหลาย
โดยมากเป็นหญ้า รวมถึงวัชพืชและผลไม้ชนิดต่าง ๆ รวมถึงพืชในทะเลทราย เช่น
กระบองเพชร มีพฤติกรรมที่แตกต่างไปกวาเต่าบกชนิดอื่น ๆ คือ เดินเก่งและเดินได้เร็ว
สามารถเดินหาอาหารกินได้วันละหลายชั่วโมง
เต่าตัวผู้เมื่อสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ราว 5 ปี หรือมีความยาวประมาณ 15
นิ้ว ในส่วนตัวเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 7 ปี หรือมีความยาวประมาณ
17 นิ้ว ตัวผู้มีโคนหางที่ยาวกว่าตัวเมีย และมีกระดองบริเวณก้นเป็นรูปตัววี
อีกทั้งกระดองใต้ท้องมีลักษณะโค้งเว้าเข้าไปด้านใน
การสังเกตเพศเห็นได้เมื่อมีอายุได้ 3-4 ปี หรือมีความยาวประมาณ 1 ฟุต
มีฤดูผสมพันธุ์ในช่วงต้นฤดูร้อนจนถึงปลายฤดูฝน
โดยใช้เวลาผสมพันธุ์นานราว 1 ชั่วโมง เต่าตัวเมียจะวางไข่หลังผสมพันธุ์แล้ว 1
เดือน โดยใช้ขาหลังขุดหลุม
ซึ่งอาจมีหลายหลุมเพื่อหลอกสัตว์กินเนื้อชนิดอื่นที่จะมาขโมยไข่ วางไข่ครั้งละ
20-30 ฟอง โดยในแต่ละปีอาจวางไข่ได้ถึงครั้งละ 4-5 ครั้ง
และมักจะวางไข่ในช่วงเวลาบ่ายไปจนถึงตอนเย็น ไข่ใช้เวลาฟักเป็นตัวประมาณ 90 วัน
โดบใช้อุณหภูมิประมาณ 29-31 องศาเซลเซียส ความชื้นอยู่ที่ร้อยละ 75-85
ลูกเต่าเมื่อแรกฟักจะมีความยาวประมาณ 2 นิ้ว น้ำหนักประมาณ 20-30 กรัม
และจะมีถุงไข่แดงติดตัวมาด้วย ซึ่งถุงไข่แดงนั้นจะให้พลังงานแทนอาหาร
ใช้เวลานานประมาณหนึ่งสัปดาห์ ถุงไข่แดงนี้จึงจะยุบไป
ปัจจุบัน เต่าซูลคาค้าเป็นเต่าบกอีกชนิดหนึ่ง
ที่นิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เลี้ยง และสามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว
รวมถึงในประเทศไทยด้วย
ในฉบับนี้ผู้เขียนก็อได้นำเอาเต่ายักษ์ซูลคาค้ามาให้รู้จักกันนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น